Youth Innovation

‘BEAM’ บ้านที่เปิดไฟให้เด็กนักสู้ตลอดคืนกลางเวียงเชียงใหม่ เส้นทางสิทธิเด็กของลูกหลานแรงงานข้ามชาติ

เช้าวันธรรมดาในซอยเล็ก ๆ ย่านสันติธรรม จังหวัดเชียงใหม่ อาคารชั้นเดียวสีซีดที่ดูไม่ต่างจากที่พักอาศัยทั่วไปตั้งอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางบ้านเช่าของแรงงานข้ามชาติ แต่เมื่อผลักประตูบานนั้นเข้าไป เสียงหัวเราะประสานกับสำเนียงหลากหลาย พม่า ไทใหญ่ จีน ก็ดังขึ้นคล้ายบทเพลงที่ไม่มีใครซ้อม ที่นี่คือ มูลนิธิการศึกษาประกายแสง ‘BEAM’ Education Foundation พื้นที่เล็ก ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งโรงเรียน ห้องประชุม และบ้านหลังที่สองของเด็ก ๆ ลูกหลานแรงงานข้ามชาติในเชียงใหม่

‘เอ็ม’ และ ‘แมท’ บอกกับเราว่าพวกเขาเติบโตจากการไฟที่ส่องสว่างในที่แห่งนี้ ในขณะที่พี่วิเองก็บอกว่าทั้ง 2 คน คือกลุ่มแกนนำในโครงการ ‘เด็กนักสู้’ ที่ BEAM ทำงานร่วมกับมูลนิธิวายไอวาย (why i why Foundation), Sida (Swedish International Development Cooperation Agency) และ มูลนิธิช่วยเหลือเด็ก ประเทศไทย (Save the Children Thailand) ซึ่งเป้าหลักคือการร่วมผลักดันให้เกิดพื้นที่เรียนรู้ซึ่งมอบทั้งความรู้และศักดิ์ศรีให้เด็ก ๆ ข้ามชาติได้ก้าวเดินอย่างมั่นคง

สำหรับใครบางคน ที่นี่อาจเป็นเพียงศูนย์การเรียนชุมชน แต่สำหรับเด็ก ๆ ที่ชีวิตถูกจำกัดด้วยเส้นพรมแดนและเอกสาร ‘บัตร’ นี่คือประตูไปสู่โลกใหม่ โลกที่พวกเขามีสิทธิ์ตั้งคำถามและกำหนดอนาคตของตัวเอง ดังประโยคที่บอกว่า เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง

จากเงียบงันสู่การลุกขึ้นพูด

‘เอ็ม’ ทรงสิทธิ์ ลุงแดง เด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ เริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น “ชีวิตเหมือนวนซ้ำ ทำงานเดิม ๆ ค่าจ้างต่ำ โดนเอาเปรียบตลอด”

เอ็มเป็นลูกหลานชาติพันธุ์ไทใหญ่ ครอบครัวของเขาเคลื่อนย้ายจากรัฐฉานเข้ามาทำงานรับจ้างในเชียงใหม่ตั้งแต่เขาจำความได้ การไม่มีเอกสารทำให้ทั้งครอบครัวต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง พ่อแม่รับจ้างก่อสร้างและทำไร่ตามฤดูกาล รายได้ไม่แน่นอน สิ่งที่เอ็มเห็นตั้งแต่เด็กคือผู้ใหญ่รอบตัวถูกกดค่าแรงและไร้ทางต่อรอง

เขามาที่ BEAM ครั้งแรกเพราะเพื่อนชวน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นที่เรียน ที่ทำกิจกรรม “แรก ๆ ก็ไม่รู้จักอะไร ทำไปก่อนเพราะมีเพื่อน พอทำไปเรื่อย ๆ ถึงค่อยเข้าใจว่าที่นี่ช่วยให้เรามีความรู้ มีความสามารถ และทำให้คนอื่นเข้าใจเรา เราก็จะมีพื้นที่ของเราได้”

แต่กว่าจะเข้าใจความหมายของพื้นที่ เขาเกือบถอดใจหลายครั้ง ช่วงปีแรกเอ็มแทบไม่พูด เวลามีเรียนหรือวงพูดคุยกัน แค่ก้มหน้าฟังเพื่อนสองคนคุยกัน “รู้สึกกดดัน ไม่รู้จะช่วยตรงไหน ภาษาไทยก็ยังอ่านเขียนไม่คล่อง” ความคิดจะลาออกผุดขึ้นทุกครั้งที่กลับบ้าน

แต่เอ็มก็คิดไปต่อว่า “ถ้าออกไป เราจะไปทำอะไรต่อ” ประโยคนั้นวนซ้ำจนเอ็มตัดสินใจกลับมาเรียนวันถัดไป “ขอสู้ต่ออีกสักรอบ”

สามปีผ่านไป เด็กหนุ่มเงียบ ๆ คนนั้นกลายเป็นคนที่กล้าคิดกล้าเสนอ เขาออกแบบเกมกฎหมายให้รุ่นน้องเรียนรู้เรื่องสิทธิเด็ก “ถ้ากฎหมายอธิบายยาก ก็ทำให้เล่นได้” เขายิ้มบาง ๆ

จากเด็กสาวสองฝั่งแดน สู่ผู้นำที่กล้าพูดแทนสิทธิของตนเอง

‘แมท’ อัมพร เล่าเรื่องชีวิตอย่างอารมณ์ดี “ตอนแรกที่มาเรียนที่ BEAM ก็เพราะอยากได้บัตร ไม่ได้คิดว่าจะตั้งใจเรียนอะไรจริงจัง”

แมทเกิดที่เชียงใหม่ แต่ชีวิตจริงคือการ ‘เข้าออก’ ระหว่างฝั่งไทยกับท่าขี้เหล็กในรัฐฉาน ครอบครัวเป็นชาวไทใหญ่ไร้เอกสารสัญชาติ เธอจำได้ว่าตอนเด็กทุกครั้งที่กลับข้ามพรมแดน ต้องพกเพียงความกล้าและภาวนาให้ด่านตรวจไม่เข้มงวด พอได้เรียนภาษาไทยที่ BEAM โลกของแมทก็เปลี่ยน จากเด็กสาวเอาแต่ใจ แมทค่อย ๆ กลายเป็นแกนนำที่เจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อย่างมั่นคง เธอจำเหตุการณ์หนึ่งได้แม่นยำ วันนั้นตำรวจเข้าตรวจชุมชน เด็กหลายคนตกใจร้องไห้ แมทเป็นคนเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่

“เราอาจช่วยคนอื่นไม่ได้ทั้งหมด แต่เราปกป้องสิทธิของตัวเองได้ และรู้จักรักษาสิทธินั้นไว้” เธอกล่าว

ในสายตาแมท ปัญหาที่เด็กข้ามชาติพานพบคือเรื่องเดียวกันเสมอ การศึกษา ค่าแรง การรักษาพยาบาล และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ “หลายคนอยากมีบัตรประชาชน อยากเรียนสูง ๆ แต่ถูกจำกัดเพราะไม่มีเอกสาร” เธอพูดช้า ๆ เพื่อเน้นทุกถ้อยคำ

แมทย้ำว่า เด็กทุกคน “ไม่ว่าจะถือสัญชาติใดหรือไร้สัญชาติ” สมควรได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กของสหประชาชาติ สิทธิที่จะมีชื่อและสัญชาติ สิทธิที่จะได้รับการศึกษา การรักษาพยาบาล การคุ้มครองจากการใช้แรงงานและความรุนแรง รวมถึงสิทธิที่จะมีเสียงของตนเองในสังคม “สิทธิไม่ใช่สิ่งที่ต้องรออนุญาตจากใคร มันเป็นสิ่งที่ติดมากับการเกิดเป็นมนุษย์” เธอกล่าวหนักแน่น

สำหรับแมท การยืนหยัดของเด็กข้ามชาติไม่ใช่เพียงการเรียกร้องเอกสาร แต่คือการยืนยันศักดิ์ศรีความเป็นคน การประกาศว่าพวกเขาคือเด็กเหมือนกันกับเด็กทุกคนบนโลกใบนี้

ครูพี่เลี้ยงที่เฝ้าดูแสงที่งอกงาม

เบื้องหลังการเติบโตของเด็ก ๆ คือ ‘พี่วิ’ ซาชูมิ มาเยอะ ครูพี่เลี้ยงผู้คอยดูแลอย่างเงียบ ๆ “เด็กที่มาที่นี่ส่วนใหญ่เริ่มราว 11–12 ปี ไปจนถึงวัยรุ่น แต่โรงเรียนไม่รับเพราะเกินเกณฑ์อายุ หลายคนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้”

วิทำงานกับ BEAM มาหลายปี เธอรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจากการบอกสอนเพียงครั้งสองครั้ง

“การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่ค่อย ๆ งอกขึ้นจากการทำกิจกรรมร่วมกันตลอดสามปี”

เธอสังเกตการเติบโตของเด็กแต่ละคนอย่างละเอียด “เอ็มจากคนเงียบ ๆ กลายเป็นคนกล้าเสนอความคิด ส่วนแมทเชื่อมโยงกับชุมชนและผู้ใหญ่ได้มั่นคง” พี่วิบอกด้วยรอยยิ้ม สิ่งที่เธอภูมิใจไม่ใช่เพียงการเรียนภาษา แต่คือการที่เด็ก ๆ รู้จักคิดเป็นระบบและสื่อสารได้อย่างมีเหตุผล

สิทธิไม่ใช่ของขวัญที่รัฐจะหยิบยื่นให้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ยืนยัน และปกป้องด้วยตัวเอง

ในชุมชนแรงงาน คำว่า ‘บัตร’ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการมีตัวตน เด็กหลายคนอยากได้ ‘บัตรไทย’ เพราะคิดว่านั่นคือคำตอบทั้งหมด แต่พี่วิย้ำเสมอว่า สิ่งสำคัญกว่าคือ สถานะทางกฎหมาย

“ขอแค่มีเอกสารที่ใช้เรียนหนังสือ เข้ารับการรักษาพยาบาล หรือเดินทางได้โดยไม่เสี่ยงถูกจับก็เพียงพอ”

เธอเล่าว่าแม้มีแนวคิดเรื่อง ‘เลข G’ สำหรับเด็กไร้สถานะเพื่อให้เข้าถึงการศึกษาและการรักษาพยาบาล แต่ในทางปฏิบัติยังแทบไม่คืบหน้า

“พออายุครบ 18 ปีก็ยิ่งลำบาก เพราะกฎหมายถือว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่พวกเขากลับไม่มีเอกสารใด ๆ ทำให้กลายเป็นคนผิดกฎหมาย ทั้งที่ไม่ได้ทำผิดเอง”

เด็ก ๆ เริ่มเข้าใจว่า สิทธิไม่ใช่ของขวัญที่รัฐจะให้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องยืนยันด้วยตนเอง ความรู้เรื่องสิทธิกลายเป็นเกราะป้องกันและเป็นเครื่องมือสร้างเสียงให้พวกเขา

บ้านนี้ยังเปิดไฟอยู่เสมอ

แม้โครงการจะสิ้นสุดลง BEAM ยังคงเป็นบ้านที่เปิดไฟตลอดคืน เด็ก ๆ รุ่นใหม่ยังแวะเวียนมาปรึกษาเรื่องเอกสาร ปัญหาตำรวจ หรือเพียงเพื่อหามุมสงบ

“ทุกวันนี้เด็กโทรมาหาเกือบทุกวัน บางคนถามว่าเจอตำรวจต้องทำยังไง” พี่วิเล่า สถานที่เล็ก ๆ นี้ยังทำหน้าที่เป็น ‘ที่พึ่ง’ อย่างแท้จริง

เอ็มและแมทก็เติบโตเป็นรุ่นพี่ที่คอยแนะนำเด็ก ๆ รุ่นต่อไป

“บางคนไม่มีบัตรอะไรเลย ไม่รู้แม้กระทั่งสิทธิเด็ก แต่หลังจากเข้าร่วมกิจกรรม ตอนนี้หลายคนมีบัตรแล้ว และกล้าพูดกับเจ้าหน้าที่เอง” แมทยิ้มภูมิใจ

สำหรับวิ สิ่งสำคัญที่สุดคือการสานต่อ “แม้โครงการจะจบ แต่ความรู้เรื่องสิทธิเด็กต้องไม่จางหาย ต้องย้ำซ้ำ ๆ เพื่อให้เด็กจำและนำไปใช้ได้จริง”

เมื่อมองย้อนกลับ เอ็มบอกว่า การอยู่ใน BEAM คือการ ‘เติบโตจากภายใน’ จากเด็กที่เคยเงียบงัน วันนี้เขาคิดเป็นระบบ วางแผนโครงการได้เอง “ถ้ามีหัวข้ออะไรเข้ามา ตอนนี้ผมจะเริ่มคิดอัตโนมัติว่า ถ้าจะทำโครงการกับกลุ่มนี้ต้องทำยังไง เขาต้องการอะไร”

แมทก็เปลี่ยนไปไม่แพ้กัน จากเด็กเอาแต่ใจ เธอเรียนรู้ที่จะฟังและเชื่อใจเพื่อนร่วมทีม “จากที่ไม่เคยเชื่อใจใคร ตอนนี้ไว้ใจเพื่อนได้มากขึ้น”

ทั้งสองคนต่างยอมรับว่า สิ่งที่ได้จาก BEAM ไม่ใช่เพียงความรู้เรื่องสิทธิเด็ก แต่คือทักษะชีวิต การสื่อสาร การคิดเป็นระบบ การดูแลตนเอง และการทำงานเป็นทีม ที่จะติดตัวไปไม่ว่าจะเลือกเส้นทางใด

แสงเล็กที่ส่องไกลไปในใจ

ในมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ เรื่องราวของ BEAM อาจไม่ปรากฏบนพาดหัวข่าว แต่สำหรับเด็กที่นี่ แสงเล็ก ๆ ของความรู้และสิทธิได้ค่อย ๆ ขยายเป็นประกายความหวัง พิสูจน์ให้เห็นว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกำหนดด้วยพรมแดนหรือเอกสารใด ๆ

เรื่องราวของเด็กนักสู้ เอ็ม แมท ผู้ยืนยันว่า การศึกษาและสิทธิขั้นพื้นฐานคือรากฐานที่ทุกคนพึงมี และคือแสงเล็ก ๆ ที่พร้อมส่องไกลต่อไปในใจของใครอีกหลายคน

Exit mobile version