Youth Innovation

‘CCDC’ กลุ่มคนรุ่นใหม่เด็กนักสู้ที่ตั้งใจสร้าง ‘บ้านของหัวใจ’ ให้เพื่อนรุ่นเดียวกัน

เช้าวันหนึ่งในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ลมเย็นจากภูเขาไหลผ่านลานกว้างหน้าบ้านไม้สองชั้น เด็ก ๆ ล้อมวงเล่นเกม Ice Breaking สร้างบรรยากาศที่กันเอง สบาย ๆ ก่อนจะเริ่มกิจกรรมคุยเรื่อง ‘สุขภาพใจ’ กิจกรรมที่เกิดขึ้นเป็นประจำของ ศูนย์สร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ Chiangmai Creative for Development Center หรือ ‘CCDC’ กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจสร้าง ‘บ้านของหัวใจ’ ให้เพื่อนรุ่นเดียวกัน

‘การ์ตูน’ ปภาวรินท์ ศรีสวัสดิ์ เดินวนรอบวงช้า ๆ คอยสบตาและส่งยิ้มให้ทุกคน ข้าง ๆ กัน ‘แบม’ บัณฑิตา มหาวรรณ์ จัดอุปกรณ์วางบนเสื่อด้วยท่าทีสบาย ๆ ภาพตรงหน้าอาจดูเหมือนวันเล่นธรรมดา แต่สำหรับเด็ก ๆ ในฝาง นี่คือที่พักใจที่ทำให้พวกเขารู้ว่าเสียงของตัวเองมีค่า

“กลุ่ม CCDC ทำเรื่องสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนมาตั้งแต่ก่อนเข้าร่วมโครงการเด็กนักสู้” แบมเล่าอย่างอ่อนโยน “เราเองก็ทำงานด้านนี้อยู่แล้ว พอเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญและเราถนัด จึงหยิบมาทำต่อในโครงการ เน้นชวนเด็กมาทำกิจกรรมด้วยกัน เหมือนสร้างเกราะคุ้มกันให้เขา และเปิดโอกาสให้เด็กคิดกิจกรรมพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง”

การ์ตูนเสริมว่า ชื่อ CCDC เพิ่งเกิดขึ้นราว 3–4 ปีที่ผ่านมา แต่หากย้อนกลับไปถึงการทำงานเดิมในชื่อ ‘สันทรายน้ำหนึ่ง’ พวกเธอทำงานด้านนี้มากว่าสิบปีแล้ว “เราเข้ามาในโครงการเด็กนักสู้ตั้งแต่ปี 2566 ค่ะ” แบมระบุ

บ้านที่ผู้ใหญ่ไม่ค่อยอยู่

อำเภอฝางคือพื้นที่กึ่งชนบท พ่อแม่จำนวนมากต้องออกไปทำงานรับราชการหรือทำเกษตร เด็ก ๆ หลายคนจึงอยู่กับตาหรือยาย

“ปัญหาสุขภาพจิตของวัยรุ่นส่วนใหญ่เกี่ยวกับครอบครัว” แบมอธิบาย

“เด็ก ๆ หลายคนมีความอ่อนไหวทางจิตใจสูง และยังมีช่องว่างระหว่างวัยที่เห็นได้ชัด ผู้ใหญ่บางคนมองว่าเด็กยังไม่มีศักยภาพพอจะพัฒนาชุมชน เวลาคุยเรื่องพวกนี้ต้องแยกการสื่อสารระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ชัดเจน ถ้าจะให้มาเจอกันก็ต้องเป็นกิจกรรมคืนข้อมูลหรือสร้างสัมพันธ์ มากกว่าการให้ความรู้ลึก ๆ พร้อมกัน”

เธอย้ำว่า สภาพแวดล้อมในชุมชนมีผลต่อจิตใจของเด็ก ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “สิ่งรอบตัวก็บีบให้เด็กมีสุขภาพจิตที่ไม่มั่นคงเหมือนกัน”

โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมใหญ่ของเด็ก ๆ เป็นช่วงเวลาที่เด็กต้องการได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว CCDC เลยออกแบบกิจกรรมตามระยะของโครงการ พี่เลี้ยงเป็นผู้ช่วยวางแผนและจัดตารางล่วงหน้า โดยมักเลือกช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาปิดเทอม เด็กส่วนใหญ่จึงว่างและเข้าร่วมได้มากที่สุด

สำหรับการลงชุมชน การ์ตูนเล่าว่า “เราไปหาภาคีในแต่ละชุมชนที่มีอยู่แล้ว และมีการติวแกนนำก่อน ว่าชุมชนไหนมีลักษณะอย่างไร แตกต่างกันยังไง เพื่อให้คุยกันได้โดยไม่เกิดความขัดแย้ง” ในพื้นที่ฝางมีทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย การทำงานจึงต้องระมัดระวังเรื่องการสื่อสารและให้ความสำคัญกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม

นอกจากนี้ยังมี ‘ผู้ใหญ่ใจดี’ คอยเป็นตัวเชื่อมระหว่างแกนนำกับคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นครูหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน ทำให้การเข้าถึงพื้นที่ไม่ใช่เรื่องยาก

แบมเล่าว่า สิ่งที่เห็นชัดที่สุดหลังจากลงพื้นที่คือทัศนคติของผู้ใหญ่ต่อสุขภาพจิตเด็กที่เปลี่ยนไป

“เมื่อก่อนผู้ใหญ่ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ แต่พอเราเข้าไปให้ความรู้ เขาเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าการดูแลเด็กไม่ใช่แค่ปล่อยไปเล่น ต้องคอยถามไถ่ว่ามีเรื่องทุกข์ใจหรือเปล่า”

การทำงานจึงกลายเป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยและสะพานเชื่อมระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ เธอย้อนถึงตอนเริ่มโครงการว่า “ตอนเปิดรับอาสาสมัคร เราคิดว่าจะมีแกนนำราวสิบกว่าคน แต่ปรากฏว่ามีคนสนใจมากกว่าที่คาดไว้”

การทำงานต่อเนื่องทำให้เห็นพัฒนาการของแกนนำอย่างชัดเจน จากที่ทีมงานต้องคอยลงแรงเอง กลับกลายเป็นว่า “แกนนำสามารถให้คำปรึกษาเพื่อน ๆ ได้ กระจายความรู้ต่อไปเอง ทำให้โครงการครอบคลุมจากฝางไปถึงแม่อายและไชยปราการกว้างกว่าที่ตั้งไว้อีก”

การเติบโตของเด็กนักสู้ในบ้านของหัวใจ

การ์ตูนอมยิ้มเมื่อพูดถึงประสบการณ์ส่วนตัว

“ตอนเริ่มเข้ามาในโครงการ ก็ไม่คิดว่าจะต้องนั่งเขียนกิจกรรมเองทั้งหมด รู้สึกว่าเปิดโลกมาก เพราะเราต้องลงพื้นที่ไปคุยกับคนในชุมชนเอง แล้วกลับมาวางแผนและเขียนกิจกรรมทุกขั้นตอน บางครั้งก็ท้อจนอยากเลิก แต่ทีมพี่เลี้ยงคอยให้กำลังใจ พอได้จัดกิจกรรมจริงก็สนุก จนอยากทำต่อ”

การ์ตูนย้ำว่าการมีพี่เลี้ยงดูแลเป็นจุดสำคัญ “ไม่ว่าพี่จะทำตำแหน่งไหน ทุกคนในองค์กรเป็นพี่เลี้ยงให้เราได้หมด ทำให้รู้สึกว่าปรึกษาใครก็ได้สิ่งดี ๆ กลับมา” ประสบการณ์นี้ทำให้เธอได้ทักษะใหม่ ๆ และมั่นใจมากขึ้นที่จะเป็นแกนนำ

แบมเสริมถึงอุปสรรคหลักว่าเป็นเรื่องเวลา “เราทำงานกับเด็กที่ต้องไปโรงเรียน บางคนมีเรียนพิเศษ วันหยุดก็ไม่ว่าง ทำให้แกนนำมาไม่ครบและเติมความรู้ได้ไม่ทั่วถึง”

ทางกลุ่มจึงปรับวิธีทำงาน โดยแบ่งพื้นที่เป็นสามโซนในอำเภอฝาง ตำบลแม่สูน บ้านห้วยจะนุ ตำบลม่อนปิ่น และเขตตัวเมือง แล้วให้แกนนำแต่ละพื้นที่คิดและจัดกิจกรรมเอง ก่อนจะนำผลลัพธ์กลับมาแลกเปลี่ยนกัน วิธีนี้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเวลาของเด็กและทำให้การทำงานครอบคลุมมากขึ้น

การ์ตูนเองก็เจออุปสรรคด้านเวลา “บางครั้งตารางของพวกเราไม่ตรงกับพี่เลี้ยง เพราะพี่ต้องดูแลหลายโครงการ ทำให้ต้องมานั่งเขียนแผนกิจกรรมกันดึก ๆ ตอนนั้นสมองไม่ค่อยแล่น แต่พี่ ๆ ก็ช่วยไกด์ให้เราปรับแผนต่อได้”

ช่วงนั้นเธอยังเรียนอยู่ชั้น ม.6 ต้องทำพอร์ตสมัครมหาวิทยาลัย “เช้าเรียน เย็นมาทำโครงการ” การเดินทางจากบ้านที่แม่อายเข้าฝางใช้รถบัส แต่ก็มีค่าเดินทางสนับสนุนและถ้ากลับดึกพี่เลี้ยงจะช่วยไปส่ง

สิทธิเด็กที่จับต้องได้

เมื่อพูดถึงสิทธิเด็ก หลายคนอาจนึกถึงถ้อยคำในเอกสารของสหประชาชาติ แต่สำหรับกลุ่มเยาวชน CCDC คำว่า ‘สิทธิเด็ก’ ไม่ได้เป็นเพียงหลักการบนกระดาษ หากเป็นสิ่งที่ต้องทำให้เกิดขึ้นจริงในทุกกิจกรรมที่พวกเขาลงมือ

ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า เด็กทุกคนไม่ว่ามาจากครอบครัวหรือภูมิหลังแบบใด ล้วนมีสิทธิขั้นพื้นฐานสี่ด้าน มีชีวิตและพัฒนา ได้รับการคุ้มครอง มีส่วนร่วม และเข้าถึงสวัสดิการที่จำเป็น ตั้งแต่การรักษาพยาบาล อาหาร การศึกษา ไปจนถึงการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง

การทำงานกับเด็กจึงไม่ใช่เพียงการจัดกิจกรรมสนุก ๆ แต่ต้องเริ่มจากการเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานเหล่านี้

“เราได้รู้ว่าการทำงานกับเด็กต้องคำนึงถึงสิทธิและความปลอดภัยเป็นหลัก” การ์ตูน เล่าย้อนถึงสิ่งที่เรียนรู้

“แม้แต่พี่เลี้ยงก็ไม่สามารถแตะตัวเด็กได้โดยไม่จำเป็น”

เธอยกเหตุการณ์หนึ่งที่ยังจำได้แม่น วันที่เกิดแผ่นดินไหว พี่เลี้ยงต้องอุ้มเด็กออกจากอาคาร แต่แม้จะเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ยังต้องระวังและอธิบายให้เด็กเข้าใจตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรอยู่

แบม เสริมว่า การอบรมจากโครงการส่งเสริมแกนนำเด็กและครูผู้ปกป้องสิทธิเด็ก “เด็กนักสู้ ครูผู้ปกป้อง” พี่ ๆ จากมูลนิธิ why i why ไม่ได้ให้เพียงความรู้เชิงทฤษฎี แต่ยังมอบเครื่องมือสำหรับใช้จริง

“เขาให้สมุดเกี่ยวกับสิทธิเด็กไว้ เราใช้เป็นแนวทางตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้”

เธอเล่าว่าคู่มือเล่มนั้นทำให้ทีมเข้าใจเรื่องเล็ก ๆ ที่สำคัญอย่างการขออนุญาต เช่น การถ่ายภาพหรือเผยแพร่ข้อมูล “เมื่อก่อนเราไม่เคยคิดว่าจะต้องขออนุญาตเด็กหรือผู้ปกครอง แต่หลังจากอบรม เรารู้ว่าต้องขออนุญาตก่อนถ่ายรูปหรือโพสต์ลงโซเชียล อยู่ที่ความสบายใจของเขาเป็นหลัก”

ทุกกิจกรรมของ CCDC ไม่ว่าจะเป็นการชวนเด็กมาวาดภาพ เล่นเกม หรือทำเวิร์กช็อป พื้นที่ตรงนั้นจึงเต็มไปด้วยการเรียนรู้ร่วมกัน เด็ก ๆ ได้แสดงความคิดเห็นและตัดสินใจด้วยตัวเอง ขณะที่พี่เลี้ยงก็เป็นเพียงผู้ดูแลคอยอำนวย ไม่ใช่ผู้กำหนดสิ่งที่ต้องทำ

สิทธิเด็กที่ดูเหมือนถ้อยคำทางกฎหมาย กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เป็นชีวิตจริงที่ผู้ใหญ่ต้องรับผิดชอบ และเป็นเกราะคุ้มกันให้เด็กทุกคนเติบโตได้อย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรีในสังคม

บ้านของหัวใจที่ส่งต่อโอกาสต่อไป

สำหรับการ์ตูน การทำงานนี้ทำให้เธอเข้าใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น

“เราเรียนรู้การรับฟัง เข้าใจคนอื่นมากขึ้น จากที่เมื่อก่อนไม่เคยให้คำปรึกษาใคร ตอนนี้เพื่อน ๆ มาคุยก็สามารถฟังและให้คำปรึกษาได้”

เธอยังได้ทักษะการสื่อสารกับผู้ใหญ่ “เพราะมีผู้ใหญ่ใจดีคอยให้คำแนะนำ ทำให้เรากล้าคุยกับผู้ใหญ่และรู้วิธีพูดคุยกับคนต่างวัย”

แบมเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อย “เรากล้าแสดงออกมากขึ้น จากเดิมเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยคุยกับใคร ตอนนี้กล้าคุยกับผู้ใหญ่และครอบครัวมากขึ้น”

การทำกิจกรรมยังทำให้เธอตัดสินใจเลือกเรียนด้านการพัฒนาชุมชน “เพราะรู้แล้วว่าชอบทำงานกับผู้คนและอยากพัฒนาสังคมต่อไป”

เมื่อถามถึงข้อเสนอแนะต่อชุมชนและคนทำงานรุ่นถัดไป การ์ตูนกล่าวว่า “พอเราได้โอกาสตรงนั้นมา เราไม่ควรเก็บไว้ แต่ควรสร้างโอกาสให้เด็กคนอื่น ๆ ด้วย เพื่อให้เกิดการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพและสนุกกับการใช้ชีวิตมากขึ้น และพร้อมร่วมพัฒนาสังคมไปกับทุกเจเนอเรชัน”

แบมฝากถึงทั้งเยาวชนรุ่นใหม่และผู้สนับสนุนว่า อยากเชิญชวนให้เด็กและเยาวชนเข้ามาร่วมกิจกรรมของ CCDC เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันด้านสุขภาพจิต

“ปัจจุบันปัญหาสุขภาพจิตมีมาก เราอยากให้เขามีใจที่เข้มแข็งและนำไปพัฒนาตัวเอง ชุมชน และประเทศต่อได้”

พื้นที่ปลอดภัย ไม่ได้เป็นเพียงลานกว้างหรือห้องเรียนสีสด หากคือ ‘บ้านของหัวใจ’ ที่เด็กสามารถวางความกลัวลงชั่วขณะ

ด้านกายภาพ คือการจัดสภาพแวดล้อมให้พ้นจากอันตราย มีรั้วที่มั่นคง มุมพักผ่อน น้ำดื่มสะอาด อากาศไหลเวียนอย่างดี ทุกสิ่งสื่อถึงการดูแลที่เชื้อเชิญให้เด็กไว้วางใจ ด้านอารมณ์และจิตใจ คือบรรยากาศที่ไม่มีการตัดสิน ไม่มีเสียงล้อเลียนหรือคำพูดทำร้าย เด็กพูดถึงความฝัน ความเศร้า ความกลัว ได้โดยไม่ต้องคอยปิดบัง ด้านสังคม คือการสร้างกติกาที่ทุกคนมีสิทธิ์ร่วมกำหนด เด็กได้เรียนรู้การฟัง การเคารพ และการตัดสินใจร่วมกับผู้อื่น​

เมื่อสามองค์ประกอบนี้มาบรรจบกัน เด็กจึงได้พื้นที่ที่ลดความเครียดและความวิตกกังวล เป็นจุดเริ่มต้นให้พวกเขาฝึกสื่อสาร จัดการอารมณ์ และเติบโตอย่างมั่นคงราวกับมี ‘ราก’ ที่ปลอดภัยค้ำจุน แม้โลกภายนอกจะเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงเพียงใด

แบมยังขอบคุณผู้สนับสนุนโครงการ โดยเฉพาะมูลนิธิวายไอวาย (why i why Foundation), Sida (Swedish International Development Cooperation Agency) และมูลนิธิช่วยเหลือเด็ก ประเทศไทย (Save the Children Thailand) ที่จัดโครงการและสนับสนุนงบประมาณ “ถ้าไม่มีโครงการนี้ เด็กและเยาวชนในอำเภอฝางคงไม่ได้พัฒนาและมีพื้นที่เรียนรู้เหมือนทุกวันนี้”

เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ในลานกว้างยังคงก้องท่ามกลางภูเขา การ์ตูนกับแบมยืนมองด้วยแววตาอ่อนโยน เรื่องราวของ CCDC คือบทพิสูจน์ว่า พลังเล็ก ๆ ของเยาวชน เมื่อได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง สามารถสร้าง บ้านของหัวใจเด็กๆ ที่เปลี่ยนชีวิตและมุมมองของทุกคนได้จริง จากลานบ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ไปสู่ใจของผู้คนทั้งเมืองฝางและไกลกว่านั้น

Exit mobile version