เด็กนักสู้ ‘KK-VoY’ จุดไฟการศึกษาในชุมชนริมราง ขอนแก่น

เมื่อการพัฒนาเมืองกำลังคืบคลานเข้ามา ‘ชุมชนมิตรภาพ’ ริมทางรถไฟ จังหวัดขอนแก่น เป็นหนึ่งชุมชนที่กำลังเผชิญกับปัญหาความไม่มั่นคงด้านที่อยู่อาศัยจากการพัฒนาของรัฐ เนื่องจากชุมชนตั้งอยู่บนพื้นที่กรรมสิทธิ์ของการรถไฟ และมีแนวโน้มจะถูกไล่รื้อออกไปอย่างไร้ทิศทางในอนาคต ไม่เพียงเท่านั้นยังมีปัญหาในหลากหลายมิติที่ซุกซ่อนอยู่ภายในซึ่งส่งผลกระทบต่อคนในชุมชน นั่นจึงเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้ เครือข่ายเสียงเยาวชนจังหวัดขอนแก่น หรือ ‘KK-VoY’ มีโอกาสเข้าไปทำงานในพื้นที่

จากการเก็บข้อมูลของ KK-VoY มีชุดข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นหนึ่งปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนโดยตรง คือ ‘การเข้าไม่ถึงสิทธิด้านการศึกษา’ ที่พ่วงมากับความเปราะบางของสถาบันครอบครัว ‘ณัฐ’ ณัฐวุฒิ กรมภักดี ที่ทำงานกับกลุ่มเพื่อนฅนไร้บ้าน จังหวัดขอนเเก่น และคลุกคลีอยู่กับชุมชนมิตรภาพมานาน จึงพาแกนนำเยาวชน KK-VoY เข้าไปขับเคลื่อนงานประเด็นดังกล่าว เพื่อพัฒนาแกนนำเด็กในชุมชนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิเด็กและประเด็นอื่น ๆ เพื่อคุ้มครองสิทธิพื้นฐานของเด็กที่กล่าวว่า เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตรอด ได้รับความปลอดภัย มีสิทธิได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการล่วงละเมิด มีสิทธิที่จะได้รับการพัฒนาทั้งด้านการศึกษา ร่างกายและจิตใจ และมีสิทธิที่จะแสดงออก มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง ภายใต้ โครงการส่งเสริมแกนนำเด็กและครูผู้ปกป้องสิทธิเด็ก “เด็กนักสู้ ครูผู้ปกป้อง” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิวายไอวาย (why i why Foundation), Sida (Swedish International Development Cooperation Agency) และ มูลนิธิช่วยเหลือเด็ก ประเทศไทย (Save the Children Thailand)

การทำงานในชุมชนที่มีความเปราะบางถือเป็นความท้าทายแรก ‘ท็อปวัน’ ภคพงษ์ แสนชาติ แกนนำเยาวชนจาก KK-VoY สะท้อนภาพปัญหาด้านการศึกษาในชุมชนว่า

“ไม่ใช่เด็กไม่อยากไปโรงเรียน แต่ครอบครัวไม่สามารถสนับสนุนเขาได้” เด็กและเยาวชนหลายคนหลุดออกจากระบบการศึกษาเพราะครอบครัวมีรายได้ต่ำส่งผลให้ไม่สามารถส่งเด็กไปโรงเรียนได้ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ยิ่งผลักให้พวกเขาค่อย ๆ ถอยห่างจากการศึกษาออกไป

โรงเรียนริมราง ห้องเรียนไร้ข้อจำกัด

ความพยายามที่ต้องการผลักดันให้เกิดการศึกษาที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนและเด็กเยาวชน นำมาสู่การเกิดขึ้นของ ‘โรงเรียนริมราง’ ที่สะท้อนให้เห็นภาพการศึกษาว่าสามารถเกิดขึ้นได้โดยไร้ข้อจำกัดเชิงพื้นที่ แม้จะแตกต่างจากห้องเรียนสี่เหลี่ยมทั่วไป แต่สามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับเด็กได้เช่นเดียวกัน

“เมื่อก่อนถ้าพูดถึงการศึกษาเราก็พูดถึงแค่ในโรงเรียน การจะบอกว่าฉันเรียนที่ไหนก็ได้ เรียนอะไรก็ได้ มันดูเป็นเด็กนอกกรอบ เด็กเกเร แต่เราก็พยายามจะสร้างมุมมองของการศึกษานอกระบบว่าไม่ใช่แบบนั้น สกร. ที่เข้ามาทำงานก็พยายามทำให้ภาพมันเบาลง ทำให้มันเป็นเรื่องปกติมากขึ้น”

การทำงานของ KK-VoY ในการสร้างโรงเรียนริมรางขยับขยายกว้างออกไปเมื่อเครือข่ายด้านการศึกษาที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง กรมส่งเสริมการเรียนรู้ หรือ สกร. เข้ามามีส่วนร่วมให้การสนับสนุนเครื่องมือในการจัดกระบวนการเรียนรู้อย่างบอร์ดเกมที่สร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องสิทธิเด็กและการเรียนรู้มิติอื่น ๆ ทั้งนี้ยังขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานท้องถิ่นอย่างเทศบาลนครขอนแก่น เกิดการสนับสนุนจากภาคเอกชนที่เข้ามาสร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านงานศิลปะ พร้อมทั้งมีสื่อที่เข้ามาช่วยสื่อสาร นับว่าเป็นโอกาสที่ทำให้การทำงานขับเคลื่อนไปอย่างมีพลัง

ประสบการณ์ท้าทายริมรางรถไฟ

ท็อปวันเล่าต่อว่าในช่วงแรกของการเข้าไปในพื้นที่มีความท้าทายหลายอย่างที่ต้องเผชิญ แรกเริ่มเด็กในชุมชนยังไม่กล้าเข้าหาพวกเขามากนัก แต่เมื่อมีการชวนมาทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องจึงเริ่มพูดคุยมากขึ้น สิ่งที่ได้รับต่อมาคือความไว้วางใจ เปิดใจเล่าถึงความคิดความฝัน สิ่งที่ต้องการในชีวิต และทำงานร่วมกับผู้ปกครองของเด็ก ๆ ไปด้วยเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการศึกษา

ขณะเดียวกันสิ่งที่พ่วงมาด้วยคือ สร้างความตระหนักรู้และเข้าใจเรื่อง ‘สิทธิเด็ก’ ให้กับเด็ก ๆ ผ่านการทำกิจกรรม ให้พวกเขาเข้าใจว่าตนเองมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษา มีสิทธิที่จะเล่น มีสิทธิที่ทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำ มีสิทธิที่จะเรียกร้องเมื่อถูกละเมิด

“ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะผู้พิทักษ์สิทธิ์ เพราะผู้ปกครองใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด เราพยายามผลักดันว่าครอบครัวควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย พ่อแม่ไม่ควรใช้ความรุนแรง พยายามสร้างความตระหนักเรื่องการศึกษา ไม่ได้ไปฉายภาพว่ามันถูกหรือผิด แต่พยายามให้เขาคิดตาม”

ข้อท้าทายต่อมาคือการทำงานกับคนในชุมชนที่มีความเปราะบาง การสื่อสารเป็นสิ่งที่ต้องตระหนักลำดับแรก ‘จูบีม’ ศุภกานต์ ตระกูลเงิน แกนนำเยาวชนอีกหนึ่งคนที่ได้มีโอกาสเข้าไปในชุมชนริมรางครั้งแรกเล่าว่า ปัญหาที่รับรู้มามีความละเอียดอ่อน การสื่อสารหรือแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวต่าง ๆ อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้กระทบกับความรู้สึกของคนในชุมชนจึงสำคัญ

“ในตอนนั้นเราเด็กมาก ด้วยความที่เราไม่สนิทกับชุมชน เข้าไปครั้งแรกต้องมีพี่ ๆ มาคอยช่วย พอเราทำงานชุมชนมากขึ้น ก็รู้สึกว่าตัวเราสามารถเข้าไปคุยกับชุมชนได้โดยที่มีพี่เลี้ยงขับเคลื่อนอยู่ข้างหลัง”

ณัฐในฐานะพี่เลี้ยงมองเห็นถึงความท้าทายนี้เช่นเดียวกัน ด้วยความเป็นเยาวชนต้องเข้าไปทำงานกับชุมชน ต้องจัดกระบวนการพูดคุย รวมไปถึงประสานงานด้วยตนเอง แต่อย่างไรก็ตามการฝึกปฏิบัติจริงล้วนแล้วแต่ทำให้แกนนำเยาวชนได้พัฒนาศักยภาพ พัฒนาทักษะการทำงานของตนเองอย่างต่อเนื่อง

เมล็ดพันธุ์เด็กนักสู้ สู่การเติบโตอย่างมีศักยภาพ

ตลอดระยะเวลาสามปีของโครงการเด็กนักสู้ ครูผู้ปกป้อง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่อาจแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้ทั้งหมด แต่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมเล็ก ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคมได้ ท็อปวันย้ำว่าบทบาทหลักของการจัดการศึกษายังต้องเป็นโรงเรียน แกนนำเยาวชนที่เข้าไปขับเคลื่อนไม่ได้เป็นฮีโร่ ไม่ได้เข้าไปแก้ไขปัญหา แต่พวกเขาเปรียบตนเองเหมือนนอตที่ไปเชื่อมกับระบบใหญ่เพื่อให้ฟันเฟืองมันไหลต่อไปได้

ไม่เพียงแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับชุมชน โครงการเด็กนักสู้ยังได้ผลผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีศักยภาพสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ กล้าคิด กล้าสื่อสาร นั่นเป็นหนึ่งในภารกิจความตั้งใจที่สำคัญของ KK-VoY ที่ต้องการพัฒนาแกนนำเยาวชนเพื่อทำงานสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต่อไป

ณัฐพูดถึงการเติบโตของเยาวชนที่เห็นเด่นชัดว่า หลายคนที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโครงการมักมีมุมมองต่อสังคมที่ละเอียดลึกซึ้ง มองผู้คนอย่างเข้าใจ สามารถสร้างกระบวนการพูดคุยกับชาวบ้านได้ และกล้าที่จะสื่อสารกับผู้ใหญ่มากขึ้น

“รู้สึกว่าตัวเรากล้าพูดมากขึ้น ช่วงแรก ๆ ไม่กล้าพูดปัญหาของชุมชนด้วยตัวเองเลย เราไม่ได้แน่ใจกับมันขนาดนั้น แต่พอได้เจอสื่อ เจอหน่วยงานมากขึ้นก็ดึงตัวขึ้นมา กล้าสื่อสารปัญหาที่เจอมาทั้งหมด”

เสียงจากจูบีมสะท้อนพัฒนาการของตนเองซึ่งขณะนั้นยังเป็นเพียงเด็กมัธยมปลายคนหนึ่ง แต่เปี่ยมไปด้วยพลังที่อยากทำงานเพื่อสังคม เช่นเดียวกับท็อปวันที่มีประสบการณ์และมีบทบาทเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ได้สะท้อนว่าการทำงานในโครงการทำให้เขามีมุมมองต่อสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง ความรับผิดชอบผลักให้เขาก้าวออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยเพื่อทำสิ่งใหม่ และไม่ใช่แค่ตัวแทนเยาวชนอย่างท็อปวันและจูบีมเท่านั้น แต่คนอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เติบโตแตกต่างกันไปตามความถนัดของตนเอง

ผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังอย่าง Sida และ มูลนิธิ why i why ก็ถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับการเปิดโอกาสให้เยาวชนได้มีพื้นที่พัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อเข้าไปสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม ผ่านกระบวนการเรียนรู้เครื่องมือการทำงานหลากหลายรูปแบบ ผ่านการฝึกฝน ทดลองปฏิบัติ โดยมีทั้งพี่เลี้ยงซึ่งเป็นเสมือนหมอชุมชนคอยให้คำปรึกษาเชิงพื้นที่ และ มูลนิธิ why i why เป็นเสมือนคลินิกที่มีปัญหาเกี่ยวกับโครงการก็เข้าไปปรึกษาได้ตลอดเวลา ที่สำคัญทั้ง Sida และ มูลนิธิ why i why เปิดโอกาสให้เยาวชนได้ทำงานในประเด็นของตนเองอย่างเต็มที่

“มูลนิธิ why i why กับ sida พยายามมองว่าเด็กอยากทำอะไร ทำแล้วติดปัญหาอะไรไหม เขาไม่เคยมาเปลี่ยนประเด็นเรา พยายามหาทางให้เราทำในสิ่งที่ตั้งเป้าหมายให้สำเร็จ แล้วค่อยมาถอดบทเรียน ไม่ได้ไปตัดสินว่าสิ่งที่ทำมันถูกหรือมันผิด”

จากประสบการณ์ ความท้าทาย ก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เยาวชน KK-VoY เติบโตและอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคม เสียงเล็ก ๆ ของพวกเขานั้นมีพลังมากพอที่จะสื่อสารเรื่องราวของสังคมได้ เยาวชนทุกคนมีตัวตน มีความคิดความฝัน ความต้องการ มีสิทธิออกเสียง มีสิทธิที่จะได้รับการพัฒนาในทุกมิติเพื่อเติบโตไปอย่างมีคุณภาพ และมีศักยภาพพอที่จะลุกขึ้นมาพูดเรื่องใหญ่ได้โดยไม่ต้องรอผู้ใหญ่ชวนคุย โดยอยู่บนพื้นฐานของการรับฟังและเคารพในสิทธิมนุษยชนซึ่งกันและกัน