จากสนามร้างสู่พื้นที่เรียนรู้ของเด็กบ้านแม่เหล็ก เรื่องราวของเด็กนักสู้แบบ บิ๊ก-สิทธิพล ฟยี กับพลังเล็ก ๆ ที่ปลุกชุมชนชายขอบให้มีเสียง

กลางหุบเขาในอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ ‘บ้านแม่เหล็ก’ ซึ่งชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอราวสองถึงสามร้อยชีวิต ที่แทบไม่เคยอยู่ในสายตาของรัฐ เด็ก ๆ เติบโตท่ามกลางถนนมืดไร้ไฟส่องสว่าง น้ำประปาไม่สะอาด และสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ขาดหาย พื้นที่เล่นก็ไม่มี โรงเรียนเก่าที่ถูกสั่งยุบคือที่เดียวที่พวกเขาใช้รวมตัว แม้จะไม่ได้เพียบพร้อม แต่ก็เป็นที่ที่พวกเขามีอิสระ

จุดเริ่มจากหัวใจเล็ก ๆ

ในบรรยากาศที่เงียบงันนั้น ‘บิ๊ก’ สิทธิพล ฟยี รวมตัวกับเพื่อน ๆ ในชุมชนสามคน หลังจากที่ได้เจอกับ ‘ณุ’ วิษณุ ดวงปัน คนทำงานชุมชนจากเครือข่ายนิเวศลุ่มน้ำทา ที่ทุกคนต่างเรียกว่า ‘ลุงณุ’ ชักชวนให้เข้าร่วมโครงการเยาวชน ‘เด็กนักสู้’ สิ่งที่บิ๊กอยากทำไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร บิ๊กกับเพื่อน ๆ แค่ต้องการให้ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านฟังเสียงของลูกหลานบ้าง

กิจกรรมแรกจึงเริ่มง่าย ๆ จากการสำรวจป่า ลำห้วย และเก็บข้อมูลปัญหาความเสี่ยงในชุมชน และการขาดพื้นที่เรียนรู้

ณุซึ่งทำงานในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและงานพัฒนาชุมชน เห็นศักยภาพของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ เลยผลักดันบิ๊กขึ้นมาลองเป็นแกนนำ แม้บิ๊กจะเป็นคนพูดน้อยและขี้อาย แต่ความจริงในชุมชนผลักให้บิ๊กก้าวออกจากความลังเล

“ถ้าไม่มีใครทำ มันก็จะจบไป เราก็ต้องลุกขึ้นมาทำ” บิ๊กบอกกับเรา

จากลานเล็ก ๆ สู่เวทีที่สร้างความไว้ใจ

งบประมาณภายใต้การดูแลของมูลนิธิวายไอวาย (why i why Foundation), Sida (Swedish International Development Cooperation Agency) และ มูลนิธิช่วยเหลือเด็ก ประเทศไทย (Save the Children Thailand) ถูกใช้เพื่อเปิดพื้นที่เล็ก ๆ ให้เด็กได้เล่นฟุตบอล วอลเลย์บอล ตะกร้อ เป็นลานกิจกรรมอเนกประสงค์ มันเป็นอะไรที่ดูธรรมดามากถ้ามองจากสายตาของคนข้างนอก แต่ถ้าขยับเข้ามาเป็นคนข้างในสิ่งนี้คือสิ่งใหม่

ขณะที่กลุ่มเด็กผู้หญิงก็ชักชวนกันเรียนรู้เรื่องทอผ้าปกาเกอะญอจากคนเฒ่าคนแก่ในชุมชนเพื่อเชื่อมโยงตัวเองสู่ต้นทุนในชุมชนอีกด้วย แม้จะมีความท้าทายเรื่องช่องว่างระหว่างวัย แต่บิ๊กกับเพื่อน ๆ ใช้วิธีง่าย ๆ คือชวนพ่อหลวงและชาวบ้านมาทำอาหารในวันประชุมกิจกรรม ชวนมาพูดคุยกัน ให้ผู้ใหญ่ช่วยคิดกิจกรรม เพื่อละลายกำแพงระหว่างวัย เป็นการสร้างเวทีพูดคุยกับผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องมากความหรือมีพิธีรีตองอะไร

แม้ช่วงแรกผู้ใหญ่ยังกังวลว่าเด็ก ๆ จะทำได้หรือเปล่า แต่เมื่อเห็นเด็กลงมือจริง ความกังวลสงสัยก็เริ่มคลาย เด็กหลายคนที่เคยไม่กล้าพูดค่อย ๆ ลุกขึ้นตั้งคำถาม ออกแบบกิจกรรม และเป็นเจ้าของพื้นที่ของตัวเอง

จากลานเล็ก ๆ ที่ดูธรรมดา กลายเป็นเวทีใหญ่สำหรับการเรียนรู้ร่วมกัน เด็กและผู้ใหญ่ต่างได้ทลายกำแพงระหว่างวัย และสร้างพื้นที่ของชุมชนขึ้นมาด้วยมือของทุกคน

การเติบโตของเด็กและบทเรียนของผู้ใหญ่

สามปีผ่านไป สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเด่นชัดที่สุดคือเด็ก ๆ เอง

เด็กผู้หญิงหลายคนที่เคยเก็บตัว เขินอายพูดน้อย กล้าจับไมค์พูดต่อหน้าผู้ใหญ่ และริเริ่มโครงการของตัวเอง เช่น ใบเฟิร์น-รุ่นไพลิน ปู่อ้าย และ มานา-มณีรัตน์ หมื่นพงศธร ที่วันนี้กลายเป็นคนประสานงานหลัก

บิ๊กก็เปลี่ยนไปจากเด็กขี้อายเป็นผู้นำเต็มตัว

“ผมกล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าปรึกษาผู้ใหญ่ กล้าตัดสินใจเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดคือ เราเปลี่ยนความคิดผู้ใหญ่ไม่ได้หรอก ยาก มาเปลี่ยนที่เด็กดีกว่า”

พลังที่ยังเดินต่อ

แม้โครงการจะสิ้นสุด แต่เมล็ดพันธุ์แห่งการเปลี่ยนแปลงยังคงงอกงาม ใบเฟิร์นและ มานา รวมไปถึงเพื่อนรุ่นใหม่ ๆ ก็ยังคงสืบต่อกิจกรรมในบ้านแม่เหล็ก ขณะเดียวกันเครือข่ายนิเวศลุ่มน้ำทาก็เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่ดินและทรัพยากรด้วย แม้บิ๊กเองวันนี้จะไม่ได้ปักหลักอยู่ในชุมชนแล้ว แต่ถ้ามีโอกาสก็มักจะกลับไปสมทบกับเพื่อน ๆ บ่อยครั้ง

ณุยังบอกอีกว่า กิจกรรมในชุมชนโดยเด็ก ๆ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องทั้งเรื่องการเรียนรู้เรื่องผ้าทอ หรือล่าสุดก็มีกิจกรรมฝึกเด็ก ๆ ในชุมชนให้มีทักษะการว่ายน้ำเพื่อป้องกันอุบัติเหตุการจมน้ำของเด็ก ๆ ในชุมชน

แม้ในวันนี้หญ้าจะเริ่มรกบนสนามขึ้นมาบ้าง แต่พลังงานในการเปลี่ยนแปลงยังคงอยู่ ณุเสริมว่าสิ่งที่เห็นมาโดยตลอดในการการเรียกร้องหรือการปกป้องทรัพยากรในบ้านเกิดนั้น โต้โผหลักกลับเป็นเด็ก ๆ มากกว่าที่จะเป็นผู้ใหญ่ในชุมชนเสียด้วยซ้ำ

“ในการเคลื่อนไหวหลาย ๆ ครั้ง ของเครือข่ายนิเวศลุ่มน้ำทา ก็ได้พลังของเด็ก ๆ เหล่านี้แหละที่เข้ามาร่วม เด็กรุ่นใหม่มีความต่างจากคนรุ่นเดิมที่กล้าเรียกร้องในสิ่งที่เป็นของเขา เขาต้องออกมาปกป้องมันทันที พวกเขาคงเห็นแหละว่าถ้าไม่พัฒนาคุณภาพชีวิตที่บ้านให้มันดี คนก็จะไม่อยากอยู่ที่นี่”

บทพิสูจน์ว่า “ถ้าชุมชนพร้อม ปลอดภัย และมีพื้นที่ให้ทำสิ่งที่รัก คนรุ่นใหม่ก็ไม่จำเป็นต้องย้ายออก”

เสียงหัวเราะในลานสนามเล็ก ๆ แห่งนี้ จึงเป็นทั้งคำเตือนและคำสัญญา ว่า การเปลี่ยนแปลงเริ่มได้จากกลุ่มเล็กที่สุด หากมีพื้นที่ให้ลงมือจริง

น้ำเสียงนี้เน้นความอบอุ่นจากความสัมพันธ์ของผู้คน พร้อมขับเน้นพลังและศรัทธาที่ว่า เยาวชนตัวเล็ก ๆ ก็จุดไฟให้ชุมชนทั้งหมู่บ้านลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงได้