เด็ก (นักสู้) กับน้ำสีโกโก้ เรื่องของไทน์และโชกุน สภาเด็กและเยาวชนตำบลมะเขือแจ้

ในหมู่บ้านสันป่าเหียง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ลำเหมืองสายเล็กที่เคยใสเย็น กลับกลายเป็นน้ำสีเข้มคล้ายสีของโกโก้ กลิ่นแรงลอยมาทักทายทุกลมหายใจ เป็นการทายทักที่ไม่เจอทักตอบไปเท่าไหร่ ‘โชกุน’ พัชรากร ธรรมสอน เห็นภาพและกลิ่นนี้ตั้งแต่จำความได้

“ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เล็ก น้ำเน่าเสียเป็นปัญหาใหญ่ที่เจอมาตลอด” โชกุนบอกด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยกับกลิ่นและสีที่ไม่ควรคุ้น

เมื่อมีโอกาสเข้าร่วมโครงการส่งเสริมแกนนำเด็กและครูผู้ปกป้องสิทธิเด็ก “เด็กนักสู้ ครูผู้ปกป้อง” มูลนิธิวายไอวาย (why i why Foundation) บนความร่วมมือของ Sida (Swedish International Development Cooperation Agency) และมูลนิธิช่วยเหลือเด็ก ประเทศไทย (Save the Children Thailand) โชกุนเลือกหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้ง แบบจริงจังที่โชกุนอยากให้มันเปลี่ยนกลับเป็นวันน้ำใสสักที

“มันคาราคาซังนับสิบปี แก้ไม่เคยได้จริง”

ข้าง ๆ กันคือ ‘ไทน์’ กิตติกร ดวงตาดำ เพื่อนรุ่นเดียวกันที่เติบโตมากับปัญหาเดียวกัน “ทุกบ้านรู้ว่ามันเป็นปัญหา เราโตมากับชุมชนนี้ก็อยากให้ท้องถิ่นใส่ใจ”

ต้นตอของน้ำสีเข้ม

สันป่าเหียงคือหมู่บ้านที่ชาวบ้านส่วนใหญ่แปรรูปผลผลิตลำไย บ้านสี่หลังมีเตาอบหนึ่งหลัง น้ำล้างลำไยผสมสารให้ความหวานและแต่งสี ก่อนจะไหลลงลำเหมืองวันแล้ววันเล่า “ช่วงแรกไม่เห็น แต่พอหลายปีเข้าก็กลายเป็นน้ำสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นแรงมาก” โชกุนเล่าภาพที่ฝังในความทรงจำ

แม้ในช่วงแรกคนในชุมชนจะยังมองไม่เห็นว่าเป็นปัญหา แต่นานวันไปในวันที่สายเกินแก้ที่ปัญหาบานปลาย ชาวบ้านในชุมชนเองก็เริ่มรู้ตัวว่าต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่มีองค์ความรู้ในการจัดการเลย ทางเดียวที่คิดออกคือการพึ่งพิงหน่วยงานรัฐ แต่ก็ผิดหวัง

“รัฐเคยลงมาดู แต่ไม่ต่อเนื่อง คนเลยไม่เชื่อ” โชกุนว่า

ขณะที่ไทน์เสริม “เยาวชนพูดเอง ผู้ใหญ่ฟังมากกว่า แต่ต้องพิสูจน์ว่าเราจริงใจ แต่ถ้าพูดอย่างเดียวก็คงยาก เราเลยต้องสรรหาวิธีที่น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ด้วยสิ”

พื้นที่ของเสียงเด็ก

จากประสบการณ์ทำ ‘ลานเล่น’ สาธารณะ ทีมสภาเด็กและเยาวชนตำบลมะเขือแจ้ เริ่มสร้างความเชื่อใจใหม่ พวกเขาลงพื้นที่เก็บข้อมูลทุกหลังคาเรือน ชวนชุมชนระดมความเห็น และใช้เวทีในโครงการเด็กนักสู้เป็นสะพานให้เด็กกับผู้ใหญ่คุยกันโดยมีพี่เลี้ยงอย่าง พี่หน่อย-สธนธร สัมฤทธิ์ เข้ามาช่วยในการแนะนำในการเก็บข้อมูล การทำงานกับชุมชนและผู้ใหญ่ รวมไปถึงการให้แนวทางในการทำโครงการ

“สิ่งแวดล้อมเป็นเพียงจุดเริ่มต้น” โชกุนอธิบาย “เราต้องการให้ผู้ใหญ่เห็นคุณค่าของเสียงเด็ก” ไทน์เสริม

งานของทั้งคู่จึงไม่หยุดที่การเก็บข้อมูล พวกเขาประสานงานร่วมกับเทศบาล นำจุลินทรีย์บำบัดน้ำเสียจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ มาใส่น้ำเสียจนกลิ่นลดลงและน้ำใสขึ้น “ผู้ประกอบการที่อบลำไยเห็นผลด้วยตา ยอมรับว่าทำได้จริง” โชกุนยิ้ม

เพลงแรปและพลังของชุมชน

บทบาทของทั้งสองคนต่างกันออกไป ไทน์เป็นผู้ประสานงานหลัก ดึงเทศบาลและผู้นำชุมชนมาร่วมมือ ส่วนโชกุนรับหน้าที่ทำสื่อรณรงค์ เขาเลือก ‘เพลงแรป’ เป็นเครื่องมือ “ผมผสมคำเมืองกับฮิปฮอป ให้คนทุกวัยฟังเข้าใจ มันเป็นการสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วก็ปลุกพลังการเปลี่ยนแปลงในชุมชนด้วย”

คืนแรกที่เปิดเพลงในเวทีหมู่บ้าน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ปรบมือตามจังหวะ แรป ‘น้ำเน่าเสีย’ กลายเป็นสัญลักษณ์ว่าพลังเด็กเล็ก ๆ ก็สามารถปลุกให้ชุมชนลุกขึ้นมาร่วมแก้ปัญหาได้

บทเรียนที่อบอุ่น

หนึ่งปีของโครงการสั้นเกินไปสำหรับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยาวพอให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

“เราพิสูจน์แล้วว่าเสียงเด็กมีน้ำหนักจริง” ไทน์สรุป

ส่วนโชกุนทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่แก้น้ำเสีย แต่คือช่วงชีวิตที่สนุกและคุ้มค่าที่สุด ผมรู้ว่าตัวเองได้ทำเต็มที่แล้ว”

เมื่อโครงการจบ เด็ก ๆ รุ่นใหม่ยังคงสานต่อ ส่วนไทน์และโชกุนก้าวสู่บทเรียนใหม่ แต่เสียงเพลงแรปและภาพลำเหมืองที่เริ่มใสขึ้น ยังคงย้ำว่าพลังเล็ก ๆ ของเยาวชนมีความหมายต่อบ้านเกิดเสมอ